รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
รู้ลึกกับจุฬาฯ
ฉบับวันที่: 21/8/2017 นักวิชาการ: รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
แผนปฏิรูปรถโดยสารประจำทาง หรือรถเมล์ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เริ่มต้นแล้วเมื่อหลายวันที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้ รถเมล์ทั้งหมดจะต้องเปลี่ยนสี ตามโซนวิ่งของรถ เป็นสีเขียว แดง น้ำเงิน และเหลือง รวมถึงรหัสเลขใหม่ พร้อมเปิดสายทดลองวิ่ง 8 สาย
ขณะที่ฝั่งประชาชนผู้ใช้รถต่างบ่นกันระงมว่า สับสน ไม่คุ้นเคยกับเลขใหม่ และยังล้อเลียนกันอีกว่า นึกว่าตนเองจะได้ใช้รถเมล์คันใหม่ แต่ความเป็นจริง เป็นเพียงรถเมล์คันเก่านำมาทาสีตัวหน้ารถเท่านั้น เป็นที่มาของคำพูดล้อเลียนในโลกออนไลน์ว่า “สิ่งที่ได้ไม่เหมือนสิ่งที่คิด”
รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ เฉลิมพงศ์ อาจารย์จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เป้าหมายของการปฏิรูปรถเมล์นี้คือการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการรูปแบบหนึ่ง ต่อไปรถเมล์แต่ละสายจะวิ่งเพียง
ระยะสั้นๆ เช่น จากเดิมจะวิ่งตลอดสาย 50 กิโลเมตร ต่อไปจะเหลือวิ่งแค่ 10 กิโลเมตร
“พอเส้นทางบริการสั้น ก็จะคุมเวลาได้ดีขึ้น รถขาดก็รีบปล่อยรถไปเสริม
และที่เขาบอกว่าจะจัดโซนเชื่อมกับรถไฟฟ้า ก็ช่วยให้เดินทางสะดวก ข้อดีคือควบคุมเวลาบริการได้ แต่ข้อเสียก็มี ทำให้คนต้องต่อรถหลายทาง” รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์กล่าว ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันมีรถเมล์ 3 สายมีจุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุดคนละที่กัน แต่มี
เส้นทางร่วมกันระหว่างทาง ต่อจากนี้ไปจะไม่มีแล้ว จะเป็นเส้นใครเส้นมันไปสายเดียว ถ้าจะไปเส้นทางอื่นก็ต้องเปลี่ยนรถ
ข้อสำคัญคือ “ของดีไม่มีถูก” ซึ่ง รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์หมายความว่า ต้นทุนที่สูงขึ้นจากการปฏิรูปเพื่อยกระดับคุณภาพการบริการ และประสิทธิภาพจะต้องเพิ่มตาม แต่ภาระนี้จะตกไปอยู่ที่ประชาชนมากน้อยแค่ไหน ค่ารถจะแพงขึ้นหรือไม่ ต้องอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะอุดหนุนและช่วยเหลือมากน้อยแค่ไหน
แต่จากสภาพเหตุการณ์ที่ปรากฏ จนกลายเป็นดราม่า “รถเมล์ทาสี” ในโลกออนไลน์ ก็เป็นภาพสะท้อนว่า ขสมก.เองก็มีปัญหาเรื่องงบประมาณ เมื่อย้อนกลับไปก็พบว่ามีการขาดทุน และเป็นหนี้มาตลอด ขณะที่รัฐบาลเร่งรัดให้มีการปรับปรุงคุณภาพรถและบริการ
“ไอเดียการปฏิรูปถูกต้องนะ แต่พอออกมาเป็นงานปฏิบัติจริงมันดูแย่ คนเลยวิจารณ์ เอารถเมล์มาทาสีก็เลยเสียเครดิต คือตัวแผนปฏิรูป เสนอไป 100 ทำได้จริง 70 มันทำไม่ได้ด้วยข้อจำกัดหลายอย่าง” รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์กล่าว
รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ระบุว่า ช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาสังคมไทยไม่เคยมีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนด้วยรถประจำทางเลย ที่ผ่านมารัฐบาลมีแต่นโยบายสนับสนุนคนใช้รถยนต์ส่วนตัว และรถไฟฟ้าที่มีงบประมาณสนับสนุนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“คือประเทศพัฒนาแล้ว คนรวยใช้ขนส่งมวลชนนะ แต่นโยบายของประเทศเราไม่เคยจัด Priority (วางลำดับความสำคัญ) ให้แก่รถเมล์เลย ควรจะมีนโยบายที่สนับสนุนมากกว่านี้ รัฐบาลต้องลงทุน ต้องเอาจริงให้มากกว่านี้ ทุกวันนี้ ขสมก.ก็ยังเป็นหนี้อยู่เลย” รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ระบุ
ปัญหารถเมล์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ก่อให้เกิดธุรกิจรถตู้เดินทาง ทั้งในจังหวัดและข้ามจังหวัด เนื่องจากรถโดยสารประจำทางไม่ได้มีการพัฒนา ทำให้เอกชนต้องมาจัดการกันเอง และบ่อยครั้งที่เกิดอุบัติเหตุตามหน้าข่าวอยู่บ่อยๆ
รถโดยสารประจำทางที่เป็นรถร่วมบริการ ก็มีการคุมค่าโดยสารไม่ให้สูงแต่พอราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น จำเป็นต้องมีการลดต้นทุนทำให้ต้องใช้รถเก่า ไม่บำรุงรักษา และต้องขับเร็วเพื่อทำรอบ ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่คนบ่นกัน
พร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันว่าควรจะปรับปรุงตรงนี้มากกว่าการปฏิรูปสายรถเมล์ ซึ่ง รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ชี้ว่าเป็นปัญหา
ที่มีต้นเหตุมาจากที่รถเมล์ไม่ได้รับการสนับสนุนมาตั้งแต่ต้น
“ของต่างประเทศเขามี earmark คือเป็น กองทุนสนับสนุน หักภาษีน้ำมันมาสนับสนุนขนส่งมวลชนเพื่อให้มีคุณภาพ ของไทยเราต้องปากกัดตีนถีบ แค่จะซื้อรถก็ยื้อแล้วยื้ออีก ไม่ได้สักที รถก็เลยติดอยู่อย่างนี้ไม่ไปไหน แถมภาครัฐยังมองว่า ขสมก.เป็นปัญหา บริหารไม่มีประสิทธิภาพเอง ควรต้องปรับปรุง” รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์กล่าว
จะเป็นอย่างไรต่อ และการปฏิรูปรถเมล์ครั้งใหญ่ครั้งนี้ในรอบหลายสิบปีนี้จะสำเร็จไหม คงเป็นคำถามหลักที่ทุกคนสนใจ แต่ รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่า“ไม่อยากให้คาดหวังกับการปฏิรูปครั้งนี้มาก” เพราะทรัพยากรในการปฏิรูปน้อยเกินไป
“ถ้ายังทำแบบเดิมๆ งบเดิมๆ เปลี่ยนแค่เส้นทาง โซนสี ก็คงไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน หนี้แสนล้านของขสมก.ก็ยังอยู่ อย่าไปคิดว่าบริหารดีแล้วกำไรจะอู้ฟู่ ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่มีระบบที่เอื้อต่อบริการรถเมล์ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” รศ.ดร.ศักดิ์สิทธิ์สรุป
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้ ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้
ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้