รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
Highlights
18 เมษายน 2566
ผู้เขียน การัณย์ภาส ลิ้มควรสุวรรณ
สถานการณ์ฝุ่นพิษ PM2.5 ในปีนี้รุนแรงและหนักหน่วงกว่าปีก่อน ๆ หากไม่หยุดวงจรนี้โดยเร็ว อนาคตอาจไม่มีลมสะอาดให้ทุกชีวิตหายใจ คณาจารย์จุฬาฯ ย้ำความสำคัญของการ “เรียนรู้อยู่กับฝุ่น PM2.5” หนังสือที่หวังให้สังคมตระหนักถึงภัยร้ายที่มากับฝุ่น วอนทุกฝ่ายร่วมกันแก้ปัญหา ลดการเผาทั้งในบ้าน ชุมชน และสังคม
PM2.5 หรือฝุ่นพิษขนาดจิ๋วได้กลายเป็นแขกขาประจำของบ้านเราไปเสียแล้ว ทุกปีในช่วงปลายฤดูหนาวเข้าฤดูร้อน หรือระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน ซึ่งหลายคนเรียกว่าเป็นฤดูแห่งการเผา เราจะต้องเผชิญกับปัญหาฝุ่นพิษกันแทบทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะปี 2566 นี้ สถานการณ์ดูจะทวีความรุนแรงและกินเวลาต่อเนื่องยาวนานกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา คุณภาพอากาศโดยรวมจัดอยู่ในเกณฑ์ “อันตรายต่อสุขภาพขั้นรุนแรง” ทำให้สภาพอากาศของประเทศไทยติดอันดับต้น ๆ ของประเทศที่มีสภาพอากาศที่อันตรายที่สุดในโลก
สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 อย่างที่เกิดขึ้นทุกวันนี้เป็นแนวโน้มที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเล็งเห็นมาตั้งแต่ปี 2562 จึงได้จัดทำหนังสือ “เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5” โดยระดมคณาจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากหลายคณะในจุฬาฯ มาร่วมถ่ายทอดความรู้ งานวิจัยและงานวิชาการที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพอากาศและฝุ่นพิษ เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงผลกระทบต่อสุขภาพ ตลอดจนถึงแนวทางการป้องกันสุขภาพของตัวเองและร่วมกันแก้ไขสถานการณ์
หนังสือเล่มดังกล่าว (ฟรี) ได้รับความสนใจอย่างมากและได้แจกจ่ายหมดไปแล้ว ในบทความนี้จึงจะได้สรุปประเด็นสำคัญจากหนังสือเล่มดังกล่าว อาทิ ความเข้าใจเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 เหตุที่ก่อให้เกิดฝุ่นพิษ อันตราย วิธีการวัดประเมินคุณภาพอากาศ และแนวทางการแก้ไขและป้องกันปัญหา เพื่อว่าปีหน้าสถานการณ์จะไม่ย่ำแย่กว่าปีนี้ที่ฝุ่นพิษกำลังเริ่มเบาบางลงตามฤดูกาล
PM2.5 เป็นฝุ่นละอองจิ๋ว ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือเล็กกว่าเส้นผมหลายเท่า (ดูภาพ) ด้วยความจิ๋วนี้เองที่ทำให้ฝุ่น PM2.5 มีอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถเล็ดลอดการกรองของขนจมูกเข้าไปในปอดและกระแสเลือดของเราได้ ที่ร้ายที่สุดก็คือมันสามารถเป็นตัวกลางนำพาสารอันตรายอื่น ๆ ในอากาศเข้าสู่ปอดเราได้ด้วย เช่น สารก่อมะเร็ง สารโลหะหนัก เป็นต้น
ฝุ่นพิษเป็นวัฎจักรหนึ่งในธรรมชาติ แต่ในอดีตสถานการณ์ฝุ่นพิษไม่หนักหน่วงและน่ากลัวเช่นปัจจุบัน ที่ฝุ่นพิษมีความรุนแรงทั้งในแง่ปริมาณและพื้นที่ของการแพร่กระจายฝุ่นในวงกว้าง
ฝุ่นพิษเกิดจากการเผา ทั้งการเผาในที่โล่งแจ้งและที่ไม่โล่ง เช่น การเผาหญ้า เผาไร่ เผาป่า เผาขยะ และการเผาไหม้ของน้ำมันจากรถยนต์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5
เราแทบจะลงปฏิทินการมาเยือนของฝุ่น PM2.5 กันได้ ที่มักจะมาในช่วงเดือนมกราคมถึงมีนนาคมของทุกปี (และในปีนี้ต่อเนื่องมาถึงเมษายน) ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากสภาพการกดอากาศที่นำไปสู่สภาวะ “ลมสงบ”
ในฤดูหนาว ความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนจะแผ่ปกคลุมประเทศไทยเป็นระลอก ๆ ทำให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังแรง ประเทศไทยมีอุณหภูมิลดลงโดยทั่วไป มีอากาศหนาวถึงหนาวจัด แต่บางครั้ง ความกดอากาศดังกล่าวอ่อนกำลังลง ทำให้มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีกำลังอ่อนลงไปด้วย นำไปสู่สภาวะที่เรียกว่า “ลมสงบ”
สิ่งที่มักเกิดประกอบกันกับสภาวะลมสงบคือการผกผันกลับของอุณหภูมิ (Inversion) ในระดับล่าง ซึ่งมีผลต่อการลอยตัวและกระจายตัวของฝุ่นละออง เมื่อการไหลเวียนและการถ่ายเทอากาศไม่ดี ก็ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นและสารพิษทั้งหลายในชั้นบรรยากาศในปริมาณสูงขึ้น
เข้าใจง่าย ๆ คือ ลมเย็นทำให้อากาศสงบนิ่ง จึงเกิดการสะสมของฝุ่นในชั้นบรรยากาศเพราะว่าฝุ่นไม่ลอยไปไหน และเมื่อถึงเวลาลมร้อนเริ่มพัดมา ฝุ่นเหล่านี้ก็จะถูกพัดให้ลอยสูงขึ้น และค่อย ๆ จางหายไปในที่สุด ก่อนจะเกิดการสะสมใหม่เมื่อลมสงบอีกครั้ง
สำหรับสถานการณ์ฝุ่นในปีนี้และปีที่ผ่านมา ภาวะลมสงบนั้นยาวนานกว่าเดิม บวกกับปัจจุบันการเผามีมากและเกิดขึ้นในวงกว้างมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน เมื่อสองอย่างนี้มารวมกันเข้า จึงทำให้สภาวะการสะสมของฝุ่นในปริมาณมาก เกิดผลกระทบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นกว่าปีก่อน ๆ มาก
ไม่เพียงบรรยากาศภายนอก แต่ในบ้านเองก็อาจมีกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษในอากาศได้เช่นกัน โดยเฉพาะกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเผา เช่น การสูบบุหรี่ การจุดธูปเทียนบูชาพระ หรือแม้แต่การเผากระดาษเงินกระดาษทองในเทศกาลการไหว้บรรพบุรุษของคนไทยเชื้อสายจีน
บุหรี่มวนเล็ก ๆ ก่อให้เกิดมลพิษและฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างไร?
ในบุหรี่ 1 มวน มีใบยาสูบ กระดาษที่มวน และสารเคมีอีกหลายร้อยชนิด ซึ่งการจุดบุหรี่ 1 มวนและเกิดการเผาไหม้แล้วนั้นจะสร้างสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพกว่า 4,000 ชนิด เมื่อควันบุหรี่เจอกับออกซิเจนในอากาศจะทำให้ก่อเกิดสารพิษ โดยเฉพาะไนโตรเจนออกไซด์ ซึ่งเป็นสารตั้งต้น (precursor) ตัวสำคัญของฝุ่น PM2.5
การจุดธูปเทียนบูชาหรือการเผากระดาษเงินกระดาษทองไหว้บรรพบุรุษ ก็เช่นกัน
เมื่อเราจุดธูปก็จะเกิดการเผาไหม้ของขี้เลื่อย กาว และน้ำหอมในธูป สารต่าง ๆ หลายตัวจะถูกปล่อยออกมาคล้ายกับที่พบในควันบุหรี่ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สารก่อมะเร็งหลายชนิด รวมถึง ไนโตรเจนออกไซด์ – ตัวการสำคัญของฝุ่น PM2.5 ด้วย
AQI ย่อมาจาก Air Quality Index หรือดัชนีคุณภาพอากาศ เป็นหน่วยวัดค่าคุณภาพอากาศที่ประเทศไทยใช้มานานแล้ว โดยมีการวัดค่าสารมลพิษ ได้แก่
โอโซน เกิดจากปฎิกิริยาในบรรยากาศโดยอิทธิพลของแสงแดด ส่งผลต่อการทำงานของระบบทางเดินหายใจและกล้ามเนื้อหัวใจ เกิดการระคายเคืองในตาและเยื่อบุจมูก มีผลต่อการทำงานของปอด
ไนโตรเจนไดออกไซด์ เกิดจากยวดยานพาหนะต่าง ๆ การเผาไหม้ที่อุณหภูมิสูง ปฎิกิริยาเคมีในชั้นบรรยากศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับระบบหายใจ
คาร์บอนมอนนอกไซด์ เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ชองเชื้อเพลิงและสารประกอบคาร์บอนต่าง ๆ ส่งผลกระทบต่อร่างกายของเราแบบทันทีคือเกิดอาการมึนงง ปวดศีรษะ ผู้เป็นโรคหัวใจจะเกิดอาการรุนแรง หากสูดดมในปริมาณที่มากก็อาจถึงตายได้
ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เกิดจากการเผาไหม้ชองเชื้อเพลิงที่มีกำมะถันการถลุงแร่โลหะที่มีส่วนผสมของกำมะถัน ลาวาจากภูเขาไฟ ส่งผลทำให้เกิดโรคหลายชนิดที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ การทำงานของปอด ทำให้เกิดการระคายเคืองในนัยน์ตาและจมูก
ตะกั่ว มีในธรรมชาติ การทำเหมืองและการถลุงแร่ตะกั่ว ยวดยานพาหนะต่างๆ อุสาหกรรมที่ใช้แร่ตะกั่ว เช่น โรงงานแบตเตอรี่ หากสะสมในร่างกายทำให้ไตเสื่อมคุณภาพ เป็นอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง
และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นมา ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทยก็ได้เพิ่มการวัดค่าฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว PM10 และ PM2.5 เข้าไปในการคำนวณ AQI ด้วย
ฝุ่นละออง เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเชื้อเพลิง การก่อสร้าง กระบวนการทางอุตสาหกรรม ปฎิกิริยาเคมีในชั้นบรรยากาศ และมนุษย์ ฝุ่นละอองเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ ส่งผลให้ไอ จาม การสะสมของสารพิษที่ติดมากับฝุ่นละอองส่งผลให้อันตราการตายก่อนวัยอันควรเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สารมลพิษทางอากาศประเภทใด (ดังที่กล่าวมา) มีค่าสูงสุด ก็จะถูกใช้เป็นดัชนีคุณภาพอากาศ(AQI) ของวันนั้น ๆ
เราสามารถรู้ค่าเฉลี่ยหรือค่า AQI ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ดัชนีชี้วัดที่ได้รับการคำนวณค่ามลพิษทางอากาศของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจัดทำโดยกรมควมคุมมลพิษ โดยมีค่าระดับคุณภาพอากาศดังนี้
มาตรการการป้องกันและช่วยเหลือต่าง ๆ ของทางภาครัฐนั้นส่วนใหญ่เป็นการป้องกันและแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการฉีดน้ำ หรือการตรวจจับควันดำ การห้ามประชาชนเผาขยะ (ซึ่งไม่เป็นผลและไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร) เราจึงควรมองการแก้ปัญหาในระยะยาวและประสานความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เพื่อช่วยแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืน ได้แก่
มาตรการที่ได้เสนอแนะนี้เหมาะสำหรับจัดการพื้นที่ของเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เพราะในภูมิภาคอื่น ๆ ต้องมีการแก้ไขที่แตกต่างกันออกไป และถึงแม้ว่ามาตรการเหล่านี้จะยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ แต่หากทำได้จริงเราก็จะสามารถลดปัญหาฝุ่นได้ในระยะยาว แต่ทั้งหมดต้องได้รับความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อแก้ปัญหานี้กันอย่างจริงจัง
การป้องกันฝุ่นสำหรับประชาชนที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ คือการสวมหน้ากากอนามัย N95 โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไปข้างนอกหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง หน้ากาก N95 เป็นหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นขนาดจิ๋วได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อสุขภาพ ส่วนการป้องกันในระยะยาวนั้นทำได้ เช่น
แม้ฤดูกาลจะผ่านไป ฝุ่นจะคลายไปบ้าง แต่ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ยังคงอยู่รอบตัวเรา จากต้นเหตุที่เราทุกคนช่วยกันสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขั้บขี่รถยนต์ที่มีการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิง การเผาหญ้า เผาขยะ เผาไร่ และยิ่งเมื่อฤดูลมสงบ ความกดอากาศต่ำมาถึง ฝุ่นที่สะสมในบรรยากาศก็จะปรากฎชัดขึ้น ทำให้ลมหายใจติดขัด ผื่นคันถามหา
เราจะแก้ปัญหาด้วยฝนเทียม ละอองน้ำ ใส่หน้ากากกันฝุ่น ฯลฯ ก็ทำได้เพียงชั่วคราว เพราะต้นเหตุของปัญหายังคงอยู่
แต่หากเราเริ่มช่วยกันตั้งแต่วันนี้ ลดการสร้างมลพิษจากในบ้าน ลดการเผาทุกชนิด ลดการใช้รถยนต์ที่มีการเผาไหม้ ปลูกต้นไม้ดูดสารพิษเพิ่มขึ้น รณรงค์เรียกร้องให้กลุ่มทุนและอุตสาหกรรมแสดงความรับผิดชอบในธุรกิจ ฯลฯ ฝุ่นพิษจะลดลง เราจะมีอากาศที่สะอาดขึ้นให้ตัวเองและลูกหลานในอนาคต
สำหรับผู้ที่สนใจหนังสือเรียนรู้อยู่กับฝุ่น PM2.5 สามารถดาวน์โหลดได้ที่ หนังสือ “เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5”
สถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ เร่งจัดทำฐานข้อมูลลายผ้าขาวม้าไทย ขับเคลื่อนมรดกภูมิปัญญาไทยสู่เวที UNESCO
“หุ่นอาจารย์ใหญ่” ฝึกเจาะเลือดและฉีดยาสุนัข เสริมความมั่นใจนิสิตสัตวแพทย์
จุฬาฯ เปิดตัว “วีลแชร์เดินได้” Wheelchair Exoskeleton หุ่นยนต์สวมใส่บนร่างกายมนุษย์ นั่ง ลุกยืน และเดินได้ในตัวเดียว
“ศูนย์สุขภาวะผู้สูงอายุ จุฬาฯ” บ้านหลังที่ 2 ดูแลระหว่างวัน ตอบโจทย์ลูกหลานวัยทำงาน ตรงใจสูงวัยสุขภาพดี
ของเล่นส่งเสริมสุขภาวะผู้สูงวัย เล่นก็ได้ แต่งบ้านก็ดี ผลงานการออกแบบจากอาจารย์จุฬาฯ
Virtual StudioLab ห้องเรียนวิทยาศาสตร์เสมือนจริง บ่มเพาะเด็กไทยสู่นักสร้างสรรค์นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ ผลงานนิสิต ป.เอก ครุฯ จุฬาฯ คว้ารางวัลระดับโลก
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ เป็นที่ที่เราได้มาพบตัวเองจริงๆ และเป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด
คุณรสสุคนธ์ กองเกตุ (ครูเงาะ) นิสิตเก่า คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้