รู้จักจุฬาฯ
การบริหาร
อัตลักษณ์มหาวิทยาลัย
Green University
Sustainability
ติดต่อจุฬาฯ
บริจาคให้จุฬาฯ
หลักสูตร
การสมัครเข้าศึกษา
หน่วยงานการศึกษา
บริการนิสิต
บริการวิชาการ
บริการทางการแพทย์
บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ
สารสนเทศและการสื่อสาร
พื้นที่สร้างสรรค์
ข่าวสารและความเคลื่อนไหว
วารสารจุฬาฯ
สาระความรู้
Highlights
9 สิงหาคม 2566
ผู้เขียน ธิติรัตน์ สมบูรณ์
พื้นที่ปลอดภัย กิจกรรมศิลปะบำบัด ความเข้าใจเรื่องการเคารพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ – ส่วนหนึ่งของข้อเสนอแนวทางลดความรุนแรงในโรงเรียนและสังคม จากโครงการวิจัย “สังคมไทยไร้ความรุนแรง” โดยคณาจารย์จากหลายคณะในจุฬาฯ
ข่าวนักเรียน ม.3 แทงเพื่อนร่วมชั้น ครูตบเด็กกลางห้องเรียน — ความรุนแรงในโรงเรียนเป็นปัญหาที่เกิดบ่อยขึ้นและดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ รายงานผลวิจัยของโครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด (Child Watch) ที่ทำการสำรวจกลุ่มเด็กเยาวชนจำนวน 150,000 คนทั่วประเทศ พบว่าเด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา ปวช. และ ปวส. 1 ใน 10 หรือประมาณ 70,000 คน ตกอยู่ในวังวนของการใช้ความรุนแรง การใช้กำลังกันระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกัน และ cyberbullying ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การทำร้ายตัวเอง ตามที่ปรากฎเป็นข่าว
“ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเด็กและเยาวชนมีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ความรุนแรงในครอบครัว รวมทั้งการนำเสนอของสื่อต่าง ๆ ที่แสดงออกถึงความรุนแรง ทั้งภาพ ภาพยนตร์ ข่าว โดยเฉพาะละครบางเรื่องที่มีฉากและคำพูดที่กระตุ้นความรุนแรง และเป็นสิ่งเร้าที่อาจจะทำให้เด็กซึมซับความรุนแรงมากขึ้น” รองศาสตราจารย์ ดร.สุมนทิพย์ จิตสว่าง ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หัวหน้าโครงการวิจัย “สังคมไทยไร้ความรุนแรง” กล่าวในงานเสวนาโครงการ “Stop Violence in Schools เยาวชนไทยห่างไกลความรุนแรง” จัดโดยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับสถาบันสอนภาษาอังกฤษ โกลบิช อคาเดเมีย (ไทยแลนด์) – ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการศึกษาของศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาฯ เราจะลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนในสถานศึกษาและในโลกไซเบอร์ได้อย่างไร? นี่เป็นโจทย์ใหญ่ของโครงการวิจัย “สังคมไทยไร้ความรุนแรง” ที่ต้องการหาคำตอบ
ด้วยการสนับสนุนทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โครงการวิจัย “สังคมไทยไร้ความรุนแรง” ประสานความร่วมมือจากคณาจารย์คณะต่าง ๆ อาทิ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ จิตวิทยา ศิลปกรรมศาสตร์ ฯลฯ ให้มาร่วมวิจัยเพื่อศึกษาสาเหตุ ผลกระทบของความรุนแรง รวมถึงแนวทางต้นแบบในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในมิติต่าง ๆ ซึ่งในงานเสวนา “Stop Violence in Schools” นักวิจัยในโครงการฯ ได้นำเสนอแนวคิดและแนวทางรูปธรรมเพื่อแก้ไขและป้องกันความรุนแรงในโรงเรียน โดยมีประเด็นเสวนาน่าสนใจ เช่น สิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนภายในสถานศึกษา, สิทธิมนุษยชนและสื่อสร้างสรรค์, การรับมือกับสื่อเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดในโรงเรียน, กลไกทางกฎหมายเมื่อมีเหตุความรุนแรง, การดูแลนักเรียนที่ได้รับความรุนแรงทางโลกไซเบอร์, และศิลปะบำบัดเพื่อเยียวยาจิตใจในภาวะวิกฤติ
ตัวเลขในรายงานสถานการณ์ความรุนแรงในปี 2565 โดย Child Watch เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง อาจมีเด็กมากกว่า 1 ใน 10 คน ที่ตกอยู่ในวังวนของการใช้ความรุนแรง ไม่ว่าในฝ่ายผู้กระทำหรือถูกกระทำ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาฯ เผยว่าเหยื่อความรุนแรงมักอยู่เป็นวัยเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายถึงมหาวิทยาลัย โดยในปี 2566 มีผู้พบเหตุความรุนแรงถึง 40% ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงถึง 30% แม้ตัวเลขเหล่านี้จะจัดว่าสูงแล้ว แต่คาดว่ามีเหยื่อความรุนแรงอีกไม่น้อยที่ยังไม่ได้เปิดเผยตัว
นอกจากชีวิตในโรงเรียนแล้ว พื้นที่แห่งความรุนแรงยังรุกล้ำเข้าไปในชีวิตบนโลกโซเซียล แพลตฟอร์มต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ ที่เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่-ทุกเวลา
“ช่องทางหลักของการแสดงความรุนแรงเป็นทางโซเซียลมีเดียและความรุนแรงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในแพลตฟอร์มที่ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตน” ผศ.ดร.ณัฐสุดา กล่าว
งานวิจัยยังชี้อีกว่าการตกเป็นเหยื่อของ Cyberbullying มีความสัมพันธ์กับการฆ่าตัวตาย
“นับวัน พื้นที่นี้ (โซเซียลมีเดีย) ดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความเจ็บปวดในจิตใจ จนนำไปสู่การทำร้ายตัวเองเช่นที่เป็นข่าว การป้องกันในเบื้องต้นจึงมีความสำคัญ ช่วยป้องกันปัญหาใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้”
โลกไซเบอร์เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นจริงในชีวิตไปแล้ว เราไม่อาจห้ามเด็กและเยาวชนไม่ให้ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ หรือเข้าไปติดตามพฤติกรรมของลูกหลานในโลกโซเซียลได้
“เวลาเด็กเข้าไปในโลกออนไลน์ต่าง ๆ เราไม่สามารถเข้าไปเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กใช้โซเชียลมีเดียได้อย่างมีคุณภาพ”
หนึ่งในแนวทางที่ ผศ.ดร.ณัฐสุดา เห็นว่าจำเป็นในเชิงป้องกันความรุนแรงคือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน
“โรงเรียนควรจัดสรรพื้นที่สำหรับนักเรียนที่ต้องการปรึกษา โดยเป็นพื้นที่ที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย ให้นักเรียนสามารถพูดหรือระบายความรู้สึกได้ โดยที่นักเรียนรู้สึกมั่นใจได้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความลับและจะไม่ถูกตัดสิน ที่สำคัญ ครูต้องเป็นเสมือนปราการแรกของเด็กที่สามารถรับฟังอย่างเข้าใจ”
ผศ.ดร.ณัฐสุดา แนะอีกว่าในพื้นที่ปลอดภัยนี้ อาจจะมีโซนกิจกรรม เช่น Emotional tasking เพื่อตรวจสอบภาวะอารมณ์ของเด็กระหว่างหรือหลังการใช้โซเชียลมีเดีย
“การตรวจสอบหรือคัดกรองสภาวะจิตใจของนักเรียนแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณครูดูแลนักเรียนและป้องกันการเกิดเหตุความรุนแรงในโลกความจริงได้”
ในการเสวนา Stop Violence in Schools ศาสตราจารย์ ดร.บุษกร บิณฑสันต์ คณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และ ดร.นิศรา เจริญขจรกิจ อาจารย์คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางการใช้ศิลปะและกิจกรรมบำบัดเพื่อช่วยในการลดความรุนแรงในโรงเรียน
ก่อนการแลกเปลี่ยนผลการวิจัย ศ.ดร.บุษกร เริ่มด้วยการเปิดประสบการณ์ให้กับครูที่มาร่วมงานเสวนา ทุกคนจะได้รับแจกกระดาษคนละแผ่น และมีโจทย์ให้วาดภาพใช้เวลา 10 – 15 นาทีหลังจากนั้น แต่ละคนโชว์ภาพวาดให้เพื่อนครูช่วยกันวิเคราะห์สภาวะอารมณ์
ศ.ดร.บุษกร สรุปหัวใจของกิจกรรมว่า “ศิลปะบำบัด Expressive Art ช่วยให้ผู้วาดภาพได้ปลดปล่อยอารมณ์ที่ถูกสะสมไว้ การวาดภาพจึงเป็นกระบวนการหนึ่งที่ช่วยคัดกรองได้ว่าเด็กมีความเสี่ยงหรือเป็นผู้ถูกกระทำ หรือเป็นผู้ที่จะสร้างความรุนแรง ภาพวาดจะช่วยทำให้เราทราบว่าใครอยู่ในเหตุการณ์ที่ค่อนข้างที่จะวิกฤต”
นอกจากศิลปะการวาดภาพแล้ว ดร.นิศรา นำเสนอกิจกรรม “บางอย่างที่หายไป” เป็นการใช้บทบาทสมมติเพื่อเข้าใจผู้อื่น ประกอบกิจกรรมการวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ และเยียวยาด้วยองค์ความรู้ของศิลปะบำบัด
ศ.ดร.บุษกร กล่าวสรุปว่าคุณครูสามารถนำกระบวนการศิลปะบำบัดไปปรับใช้ในห้องเรียน ให้นักเรียนได้ระบายความรู้สึก เพื่อครูจะได้คัดกรองอารมณ์นักเรียนในเบื้องต้น ซึ่งหากพบข้อสงสัยว่าเด็กจะเป็นผู้ก่อความรุนแรงหรือเป็นเหยื่อความรุนแรง ก็จะสามารถส่งต่อไปให้ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้การดูแลที่เหมาะสมต่อไป
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปารีณา ศรีวนิชย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีกฎหมายที่ครอบคลุมและคุ้มครองเด็กได้ดีพอสมควร แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือกฎหมายลำดับรอง และแนวทางการบังคับใช้กฎหมาย ที่จำเป็นต้องปรับปรุงให้เกิดการบูรณาการงานระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ลงตัวและราบรื่นขึ้น
“ในโรงเรียนควรมีกลไกคุ้มครองผู้ที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง นักเรียนกับครู หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากบุคคลภายนอกที่เข้ามากระทำกับครูหรือนักเรียน ซึ่งเรื่องนี้ จะต้องมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นครู แพทย์ ตำรวจ รวมถึงกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)”
สำคัญกว่าแนวทางด้านกฎหมาย ผศ.ดร.ปารีณา ชี้ว่าการอบรมและสร้างความเข้าใจเรื่องการเคารพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่จะป้องกันความรุนแรงได้ดีที่สุด ซึ่งพื้นที่ที่จะบ่มเพาะเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือครอบครัวและโรงเรียน
“การรู้จักเคารพและให้เกียรติกันและกันในโรงเรียนเป็นพื้นฐานที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงในโรงเรียน ความรุนแรงเกิดขึ้นจากการขาดความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ดังนั้น จึงควรเริ่มต้นจากการป้องกันและสร้างเสริมความเข้าใจในส่วนนี้ จากนั้นต้องมีมาตรการรองรับหากเกิดเหตุความรุนแรงว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ทั้งในส่วนของผู้ที่ได้รับผลกระทบจะได้รับการดูแลและบำบัดอย่างใร ในขณะเดียวกันก็ต้องรับมือป้องกันผู้ที่ก่อความรุนแรงไม่ให้ไปก่อเหตุความรุนแรงในอนาคต”
สุดท้าย ผศ.ดร.ปารีณา ย้ำว่า “ที่สำคัญ เราไม่สามารถแก้ปัญหาความรุนแรงด้วยการใช้ความรุนแรงได้ ไม่ว่าในทางใดก็ตาม”
จากการวิจัยความรุนแรงในสังคมในสังคมอย่างต่อเนื่องกว่า 2 ปี รศ.ดร.สุมนทิพย์ เสนอ 8 แนวทางที่เป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง ”สังคมไทยไร้ความรุนแรง” โดยสามารถนำไปปรับใช้กับโรงเรียนได้ดังนี้
1. ส่งเสริมและเปลี่ยนแปลงค่านิยมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง รวมทั้งส่งเสริมความเท่าเทียมกันระหว่างเพศชายและเพศหญิง
2. พัฒนา สร้างความมั่นคง หรือเสถียรภาพระหว่างเด็กและพ่อแม่ หรือผู้ที่เลี้ยงดูเด็ก
3. พัฒนาทักษะการใช้ชีวิตของเด็กและเยาวชน ป้องกันหรือลดปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวต่อเด็กและสตรี
4. ลดการใช้สุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
5. ลดการใช้อาวุธ ปืน มีด หรือยาฆ่าแมลง
6. ควบคุมการนำเสนอของสื่อที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง
7. จัดโปรแกรมในการดูแลและช่วยเหลือต่อเหยื่อของความรุนแรง
8. นำหลักทางศาสนาเข้ามาใช้ในการดำเนินชีวิต หลอมความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ ศาสนาและชาติพันธุ์
รศ.ดร.สุมนทิพย์ กล่าวว่าแนวทางทั้ง 8 ข้อนั้นครอบคลุมมิติต่าง ๆ ทั้งการปรับโครงสร้างและวางรากฐานสังคม สร้างค่านิยม ปรับวิธีคิด ฯลฯ ซึ่งถ้าทำได้ จะทำให้ความรุนแรงของปัจเจก ชมุชน และสังคมลดน้อยลง
“เราจะลดความรุนแรงในสังคมได้ เมื่อองค์กรและสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องบูรณาการความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม รวมถึงภาคประชาสังคม สื่อมวลชน ภาคเอกชน และสถาบันครอบครัว ซึ่งมีความสำคัญและเป็นปัจจัยลำดับต้น ๆ ที่นำไปสู่ความรุนแรง” รศ.ดร.สุมนทิพย์ กล่าว
คณะผู้วิจัยจากจุฬาเชื่อว่าผลจากการวิจัยจะช่วยให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในสถาบันการศึกษาเห็นแนวทางที่จะไปปรับใช้ หรือร่วมคิดต่อยอดแปลงแนวนโยบายเป็นรูปธรรมปฏิบัติการ เพื่อให้โรงเรียนปลอดความรุนแรงและนักเรียนมีภูมิคุ้มกันในการรับมือกับความรุนแรงในโลกไซเบอร์ได้ดียิ่งขึ้น
สนใจอ่านงานวิจัย “สังคมไทยไร้ความรุนแรง” ได้ที่ https://sites.google.com/g.chula.edu/criminology/no-violence-in-thai-society
คีเฟอร์น้ำเกสรดอกกุหลาบ เครื่องดื่มสุขภาพต้านอนุมูลอิสระ ผลงานนิสิตจุฬาฯ คว้าเหรียญทองระดับโลก
The Skinov’e นวัตกรรมสกินแคร์จากเปลือกกล้วยหอมทองปทุม ผลงานวิจัยจุฬาฯ ที่ทำให้สิวเป็นเรื่องกล้วยๆ
น้ำยายืดอายุกระดาษ นวัตกรรมจุฬาฯ อนุรักษ์เอกสารและภาพศิลปะโบราณให้คงสภาพอีกนานนับทศวรรษ
อาหารเป็นยา นวัตกรรมเพื่อสุขภาพของคนยุคปัจจุบัน
จุฬาฯ ชู “หมัดสั่ง” ภาพยนตร์สารคดีฟื้นจิตวิญญาณมวยไทยบนสังเวียนโลก
หุ่นยนต์ดินสอรุ่นล่าสุด “Home AI Assistance” ผู้ช่วยประจำบ้านดูแลผู้สูงอายุตลอด 24 ชั่วโมง อีกก้าวของหุ่นยนต์สัญชาติไทย
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้ รายละเอียดคุกกี้