Highlights

สถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ เร่งจัดทำฐานข้อมูลลายผ้าขาวม้าไทย ขับเคลื่อนมรดกภูมิปัญญาไทยสู่เวที UNESCO

ฐานข้อมูลผ้าขาวม้า

สถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ ร่วมกับกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ผลักดัน “ผ้าขาวม้าวิถีชีวิตไทย” ซึ่งเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติสู่เวที UNESCO โดยการเร่งจัดทำฐานข้อมูลลายผ้าขาวม้าไทยจากทุกภาคส่วนให้เป็นระบบ เพื่อประโยชน์ด้านการอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาของชาติ และส่งเสริมการสร้างสรรค์ลายอัตลักษณ์ผ้าขาวม้าขององค์กรและชุมชน รวมถึงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลไปสู่การต่อยอดในภาควิสาหกิจชุมชนและภาคการตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจในแก่ผ้าขาวม้าและการขยายตัวของเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน


เมื่อเอ่ยถึง “ผ้าขาวม้า” หลายคนคงนึกถึงผ้าลายตาราง สีสันต่าง ๆ และประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลาย ตั้งแต่ใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ผ้านุ่งอาบน้ำ ผ้าพันคอ โพกศีรษะ เปลนอน ผ้าเช็ดพื้น ผ้าปูโต๊ะ ผ้าห่ม ฯลฯ ถ้าจะบอกว่าผ้าขาวม้าเป็นผ้าสารพัดประโยชน์หรือผ้าอเนกประสงค์ ก็คงไม่ผิดนัก

ผ้าขาวม้าผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมายาวนาน เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่แสนจะเรียบง่ายแต่มากด้วยประโยชน์ใช้สอย เสน่ห์ของผ้าขาวม้ายังคงโดนใจคนรุ่นใหม่ ที่นำผ้าขาวม้ามาออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์และเครื่องแต่งกายร่วมสมัย  

อนาคตของผ้าขาวม้ายังไปต่อได้อีกไกลถึงเวทีโลก ด้วยกระทรวงวัฒนธรรมกำลังเสนอขึ้นทะเบียน “ผ้าขาวม้า” เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Intangible cultural heritage) ต่อองค์การยูเนสโก (UNESCO) โดยมีสถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมสนับสนุนในการจัดเก็บและทำฐานข้อมูลลายผ้าขาวม้าในประเทศไทยให้เป็นระเบียบแบบแผนในเว็บไซต์เดียว www.thaistudies.chula.ac.th/db/phakhaoma/

“ในการเอาผ้าขาวม้าขึ้นทะเบียน มิได้หมายถึงผ้าขาวม้าเป็นของเราเท่านั้น ด้วยว่าผ้าขาวม้าเป็นมรดกภูมิปัญญาที่มีอยู่ในภูมิภาคโดยรวม แต่เรามุ่งเน้นถึง ผ้าขาวม้าในวิถีชีวิตไทย เพราะวิถีชีวิตของคนไทยมีความผูกพันการใช้ผ้าขาวม้าในลักษณะเป็นผ้าอเนกประสงค์มาช้านาน ตลอดจนผ้าขาวม้าไทยยังมีอัตลักษณ์ทั้งรูปแบบ ลวดลาย เทคนิกการย้อมสี และการทอ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของผู้คนและชุมชนแต่ละท้องถิ่นในประเทศไทย เหล่านี้เป็นมรดกภูมิปัญญาของคนไทย” รองศาสตราจารย์ฤทธิรงค์ จิวากานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ กล่าวถึงการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อทำเรื่องขึ้นทะเบียนผ้าข้าวม้าไทยในเวที UNESCO

 “การที่เราเข้ามาช่วยกระทรวงวัฒนธรรมทำเรื่องนี้ก็เพื่อดำรงภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมให้อยู่ในเวทีโลกได้ ซึ่งเป็นการปกป้องทางวัฒนธรรมและสร้างความมั่นใจว่าภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมจะไม่สูญหาย”

รองศาสตราจารย์ฤทธิรงค์ จิวากานนท์
รองศาสตราจารย์ฤทธิรงค์ จิวากานนท์
ผู้อำนวยการสถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ

“การที่จะทำให้ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมดำรงอยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย เราต้องทำให้ภูมิปัญญานั้นมีการเคลื่อนไหวและพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ การสร้างฐานข้อมูลลายผ้าขาวม้าไทยก็เป็นสิ่งที่จะทำให้มรดกภูมิปัญญามีการเคลื่อนไหว เพราะฐานข้อมูลไม่ใช่สิ่งที่นิ่งตายตัว แต่เปลี่ยนแปลงได้ เพิ่มพูนได้ นอกจากลายดั้งเดิมแล้ว จะยังมีลายใหม่ ๆ มาเติมในฐานข้อมูลเรื่อย ๆ ข้อมูลที่เคลื่อนไหวตลอดเวลาจะเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่าภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ้าขาวม้ายังคงดำรงอยู่ในสังคม ยังมีผู้คนให้ความสนใจอยู่”  

ฐานข้อมูลผ้าขาวม้า วิถีไทย

เว็บไซต์ www.thaistudies.chula.ac.th/db/phakhaoma
เปิดให้ชุมชนกรอกข้อมูลผ้าขาวม้าในท้องถิ่นได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568

นอกจากการปกป้องทางวัฒนธรรมแล้ว รศ.ฤทธิรงค์ กล่าวเพิ่มเติมถึงเป้าหมายของการจัดทำฐานข้อมูล 3 ประการ กล่าวคือ

  1. ส่งเสริมคุณค่าและมูลค่าของผ้าขาวม้าไทยในฐานะที่เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
  2. สืบสานและพัฒนาต่อยอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมสู่นวัตกรรมสร้างสรรค์
  3. สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐภาคเอกชนสู่การส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนเพื่อสืบสานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

ถึงจะเป็นผ้าที่คนไทยรู้จักดีและใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่หากจะให้อธิบายนิยาม ที่มาและระบุเอกลักษณ์ของผ้าขาวม้า หลายคนอาจจะไม่มั่นใจที่จะตอบ  

รศ.ฤทธิรงค์ อธิบายนิยามและลักษณะของผ้าขาวม้าว่า “ผ้าขาวม้าเป็นผ้าที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าความกว้างระหว่าง 60-80 เซ็นติเมตรและความยาวระหว่าง 120-160 เซ็นติเมตร ขนาดมีความสำคัญสำหรับผ้าขาวม้า เพราะถ้าเล็กหรือใหญ่กว่านี้ก็จะใช้งานลำบาก ผ้าขาวม้าพบได้ทั้งที่เป็นผ้าฝ้ายและผ้าไหม ทอด้วยเทคนิคพื้นฐาน แต่มีสีสันสดใสจากลวดลายตารางและเชิงผ้าสองข้างเป็นลายแถบ”

ชาวบ้านเป็นผู้ย้อมสีและทอผ้าเองในครัวเรือนผ่านองค์ความรู้ที่สืบผ่านมาจากบรรพบุรุษ ส่วนเรื่องการใช้สอยก็ขึ้นกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชุมชนนั้น ๆ เช่น ในโอกาสที่เป็นทางการ ชาวบ้านจะใช้ผ้าขาวม้าพันห่มส่วนบนของร่างกายหรือใช้แทนเข็มขัด รวมทั้งใช้เป็นผ้ากราบพระ ในครัวเรือน มีการใช้ผ้าขาวม้าเป็นผ้าปูโต๊ะ ผ้าม่าน ปลอกหมอน อุ้มเด็ก ผูกเปล หรือใช้เป็นผ้าอ้อมสำหรับเด็กแรกเกิด

ผ้าขาวม้ายังใช้ในพิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่านของชีวิตและพิธีกรรมเพื่อการบำบัดรักษา ทั้งยังใช้เป็นของกำนัลเพื่อแสดงการต้อนรับและเป็นของไหว้ในพิธีแต่งงาน นอกจากนั้น ยังใช้บูชาบรรพบุรุษรวมถึงเทวดาที่เกี่ยวข้องกับการทำการเกษตรในประเพณีต่าง ๆ รวมถึงในพิธีศพ“เดิม ผ้าขาวม้าทำจากวัสดุเหลือใช้ ชาวบ้านทอผ้าอยู่แล้ว มีเส้นด้ายเหลือก็ไม่ได้เอาไปทิ้ง แต่นำมาทอเป็นผ้าขาวม้า ใครฝึกการทอผ้า ต้องหัดทอผ้าขาวม้าให้ได้ก่อน เพราะเป็นการทอที่เรียบง่าย ผ้าขาวม้ารับใช้วิถีชีวิตคนไทย ตั้งแต่เป็นผ้าผืนจนถึงเป็นแปรสภาพเป็นผ้าขี้ริ้ว เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า สอดคล้องกับแนวคิด Zero Waste ในปัจจุบัน” รศ.ฤทธิรงค์ กล่าว

“ลายที่ชาวบ้านคิดค้นขึ้นอาจจะเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นมาใหม่ หรือบางทีชาวบ้านก็ใช้ชื่อชุมชนเป็นชื่อของลายผ้า รายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับผ้า เช่น ลายแบบนี้ประกอบด้วยสีอะไร ตารางเป็นแบบไหน มีความกว้างเท่าไร ใช้สีธรรมชาติหรือสีเคมี ถ้าเป็นสีธรรมชาติต้องระบุว่าสีธรรมชาติจากที่ไหนบ้าง ถ้าเป็นสีเคมีต้องมีหมายเลขสีตามมาตรฐานสากล และมีรายชื่อผู้ติดต่อ เจ้าของชุมชน” รศ.ฤทธิรงค์ ขยายความรายละเอียดของฐานข้อมูล

ฐานข้อมูลผ้าขาวม้า วิถีไทย
ฐานข้อมูลลายผ้าขาวม้าเน้นลายผ้าเป็นหลัก และรายละเอียดเกี่ยวกับลายผ้า เช่น สี โครงสร้างของผ้า เจ้าของผลงาน

สำหรับแนวทางการได้มาซึ่งข้อมูล รศ.ฤทธิรงค์ อธิบายว่าได้มาจากการเก็บข้อมูล 3 วิธีด้วยกัน

  1. วิธีที่หนึ่ง เป็นการที่บุคลากรของสถาบันไทยศึกษาไปเก็บข้อมูลในชุมชนที่ทำผ้าขาวม้า
  2. วิธีที่สอง เป็นการนำข้อมูลมาจากภาครัฐและเอกชน ข้อมูลที่ได้จากทางภาครัฐ เช่น กรมพัฒนาชุมชนของกระทรวงมหาดไทย และภาคเอกชน เช่น กลุ่มประชารัฐรักสามัคคีเป็นวิสาหกิจชุมชนที่มีการประกวดผ้าขาวม้าทุกปี (ทั้งหน่วยงานเอกชนและหน่วยงานภาครัฐเก็บข้อมูลผ้าขาวม้าอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เก็บในระบบเดียวกับเรา หรือเก็บด้วยจุดประสงค์อื่น สถาบันไทยศึกษาจะขออนุญาตเอามา แล้วจัดไว้เป็นระบบระเบียบ ข้อมูลที่มีไม่ครบ เราก็จะเติมเต็มในระบบแล้วก็ใส่ให้ครบ)
  3. วิธีที่สาม เป็นการเก็บข้อมูลโดยเจ้าของลายผ้าขาวม้าเอง

“เราจะเปิดให้ชุมชนเข้ามาป้อนข้อมูลผ้าขาวม้าของตัวเองในระบบด้วยตัวเอง โดยเราจะมีการฝึกอบรมให้กับชุมชน เพื่อให้สามารถลงทะเบียนและใส่ข้อมูลของตัวเองได้” รศ.ฤทธิรงค์ กล่าวและเผยว่าสถาบันไทยศึกษาจะเปิดให้ชุมชนเข้ามาร่วมมีส่วนในการเก็บข้อมูลผ้าขาวม้าวิถีไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 นี้เป็นต้นไป  

รศ.ฤทธิรงค์ กล่าวว่าเมื่อฐานข้อมูลลายผ้าขาวม้าเสร็จ ทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถนำข้อมูลไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในเรื่องการศึกษาลายผ้าขาวม้าไทย การพัฒนาชุมชน และการตลาด

“การทำฐานข้อมูลเรื่องผ้าขาวม้าไม่ได้เป็นเรื่องของการจดลิขสิทธิ์ลาย ไม่ได้แปลว่าลายนี้คนอื่นเอาไปใช้ไม่ได้ ฐานข้อมูลของเราจะบอกว่าลายนี้ชุมชนใดเป็นคนทอ เพื่อเชื่อมโยงภูมิปัญญาชุมชนกับภาครัฐและเอกชน”

ในด้านการตลาด รศ.ฤทธิรงค์ กล่าวถึงการใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลเพื่อส่งเสริมการตลาดให้ชุมชนว่า “ชาวบ้านที่ทอผ้ามีความชำนาญในการผลิต แต่ไม่ได้มีความชำนาญในการตลาด ฐานข้อมูลผ้าขาวม้าจะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมผู้ซื้อถึงผู้ผลิต เช่น โรงแรมอยากได้ผ้าขาวม้าเป็นสินค้าพรีเมียม เป็นลายเอกลักษณ์ของโรงแรมเอง ก็สามารถเข้ามาในฐานข้อมูล เลือกลายที่ชอบ และติดต่อไปที่ชุมชนที่ผลิตลายนั้น ๆ ได้”

อย่างเช่นที่สถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ ได้ออกแบบและจัดทำผ้าขาวม้าลาย “ไทยศึกษา” เพื่อชี้ให้เห็นการใช้ประโยชน์ฐานข้อมูลผ้าขาวม้าวิถีชีวิตไทย

รศ.ฤทธิรงค์ เล่าว่าผ้าขาวม้าลาย “ไทยศึกษา” สีชมพูและม่วง ได้มาจากการวิเคราะห์อัตลักษณ์ของความเป็นสถาบันไทยศึกษา จุฬาฯ แล้วนำไปให้ชุมชนบ้านสร้างหิน อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เป็นผู้ทอ โดยลักษณะเด่นของผ้าขาวม้าลายนี้อยู่ที่ลายตารางไม่เท่ากัน ซึ่งต่างจากผ้าขาวม้าโดยทั่วไปที่มีลายตารางเท่ากัน

“ผ้าขาวม้าลายไทยศึกษาเป็นตัวอย่าง ที่อยากจะสะท้อนให้เห็นว่าเราสามารถพัฒนาสร้างลายที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองได้ หากองค์กรใดอยากได้ลายผ้าขาวม้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง สถาบันไทยศึกษาก็สามารถออกแบบใหม่ แล้วส่งงานให้กับชุมชนทอผ้าขาวม้า เพื่อให้ชุมชนได้งาน”

นอกจากฐานข้อมูลผ้าขาวม้าวิถีชีวิตไทยจะเป็นพื้นที่ที่สะท้อนความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของไทยแล้ว ยังเป็นโอกาสดีที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนด้วย อย่างไรก็ตาม รศ.ฤทธิรงค์ วอนผู้ประกอบการและผู้สนใจ ให้ความสำคัญกับการใช้ “ผ้าผืนใหญ่” มากกว่าผ้าขาวม้าที่แปรรูปเป็นชิ้นเล็ก ๆ

รศ.ฤทธิรงค์ ให้เหตุผลว่าการเอาผ้าขาวม้าหนึ่งผืน (ขนาดความกว้างผืนละ 60-80 ซม.และยาว 120-160 ซม.) มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ต้องมีการตัดผ้า ทำให้มีเศษผ้าเหลือทิ้ง ซึ่งเป็นการสร้างขยะและน่าเสียดาย นอกจากนี้ ในเชิงเศรษฐกิจ ถ้าเอาผ้าขาวม้าหนึ่งผืนมาตัดเป็นกระเป๋าผ้า อาจจะได้กระเป๋า 3 ใบ รายได้ก็จะไปอยู่ที่คนขายกระเป๋า ในขณะที่ชาวบ้านได้รายได้จากการทอผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียว

“ชาวบ้านทอและขายผ้าขาวม้า ไม่ได้ทำกระเป๋าหรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ขาย ถ้าเราซื้อกระเป๋าลายผ้าขาวม้า รายได้จะไปตกกับคนสร้างผลิตภัณฑ์มากกว่าชาวบ้านผู้ทอ ซึ่งรายได้ของชุมขนมาจากการขายผ้าได้เป็นผืน ๆ” รศ.ฤทธิรงค์ กล่าว

“การที่เราสนับสนุนให้ใช้ผ้าขาวม้าเป็นผืนก็เพื่อให้รายได้ตกอยู่ที่ชาวบ้านให้ได้มากที่สุด ถ้าเราใช้ผ้าขาวม้าเป็นผืนกันมากขึ้น ชาวบ้านก็จะขายผ้าขาวม้าได้มากขึ้น เป็นการสร้างรายได้และความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้ชุมชน”

ไม่เฉพาะเศรษฐกิจชุมชน แต่รายได้จากผ้าขาวม้าที่หมุนเวียนในชุมชนจะมีส่วนช่วยสืบสานและต่อยอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นการประกันอนาคตของผ้าขาวม้าให้อยู่ในวิถีชีวิตของคนไทย

ยามค่ำคืนใช้ผ้าขาวม้าห่มนอน รุ่งสางอาบน้ำและใช้ผ้าขาวม้าเช็ดตัว ช่วงสายคาดผ้าขาวม้าผูกเอวเข้าสวน เที่ยงจัดแจงปูผ้าขาวม้าสำหรับตั้งสำรับอาหาร ยามบ่ายนั่งเล่นอยู่บนชานเรือนก็ได้ผ้าขาวม้าปัดกวาด เย็นย่ำนำผ้าขาวม้ามาหนุนนอนก่อนจะหมดไปอีกวัน – ภาพความรู้สึกผูกพันของคนไทยกับผ้าขาวม้าเช่นนี้ จะยังคงมีให้เห็นและสัมผัสต่อไป  

จุฬาฯ มีลักษณะของความเป็นพี่น้อง ความอบอุ่น เป็นสังคมที่อยากอนุรักษ์ไว้

ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า