“กะท่างน้ำดอยภูคา” ชนิดใหม่ของโลก ค้นพบโดยอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม

อาจารย์นักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ค้นพบ “กะท่างน้ำดอยภูคา” กะท่างน้ำชนิดใหม่ของโลก บริเวณอุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน บนแนวเทือกเขาหลวงพระบาง โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่สถานที่พบสัตว์ชนิดนี้คืออุทยานแห่งชาติดอยภูคา จังหวัดน่าน จัดเป็นกะท่างน้ำชนิดที่ 5 ที่มีรายงานการตั้งชื่อในประเทศไทย โดยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางวิทยาศาสตร์ “Tropical Natural History”

อ.ดร.ปรวีร์ พรหมโชติ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่า กะท่างน้ำเป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกอยู่ในกลุ่มเดียวกับกบ ในประเทศไทยสามารถค้นพบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ในต่างประเทศ ค้นพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทวีปเอเชีย ตนพร้อมด้วยคณะผู้วิจัย ได้แก่ ผศ.ดร.วิเชฏฐ์ คนซื่อ และ อ.ดร.ภาณุพงศ์ ธรรมโชติ มีความสนใจศึกษาว่ามีกะท่างน้ำที่ดอยภูคาจริงตามที่มีเรื่องเล่าหรือไม่ โดยทำเรื่องผ่านกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช และได้รับความอนุเคราะห์จากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติดอยภูคาในการลงพื้นที่ไปสำรวจ รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และจากประเทศฝรั่งเศส ภายใต้การสนับสนุนโดยศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค ที่จังหวัดน่าน

อ.ดร.ปรวีร์ เล่าว่า คณะนักวิจัยและคณะผู้นำทางต้องปีนขึ้นบนยอดดอยที่สูงชัน ผ่านป่าดิบที่สมบูรณ์ เพื่อค้นหาแอ่งน้ำที่เป็นแหล่งอาศัยของกะท่าง จนไปถึงแอ่งน้ำบนดอยหญ้าหวาย มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,795 เมตร โดยธรรมชาติของกะท่างนั้นจะอาศัยในแอ่งน้ำบริเวณหุบบนยอดเขา มีขนาดประมาณ 200 ตารางเมตร และเป็นน้ำที่ปกคลุมด้วยหญ้าที่มีความสูงไม่มากนัก มีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่กลางแอ่งน้ำและนอกจากนั้นยังมีขอนไม้ล้มที่มีโพรงจมอยู่กับพื้นของแอ่งน้ำที่มีความลึกไม่มากนัก หรือประมาณครึ่งหน้าแข้ง จนกระทั่งค้นพบกะท่างน้ำดอยภูคากว่า 50 ตัวปีนอยู่ตามกอหญ้า ขอนไม้และก้อนหินกลางแอ่งน้ำ ส่วนใหญ่เป็นตัวผู้ เมื่อสำรวจทั้งแอ่งน้ำและริมตลิ่ง พบว่ากะท่างน้ำดอยภูคากำลังมุ่งหน้าเข้าผืนป่า คาดว่าเป็นช่วงปลายของฤดูผสมพันธุ์ ธรรมชาติของกะท่างน้ำ เมื่อผสมพันธุ์กันแล้ว ตัวเมียจะวางไข่หลัง และทิ้งไข่ปล่อยให้ปรับตัวไปตามธรรมชาติ ส่วนตัวพ่อและแม่นั้นจะมุ่งหน้ากลับผืนป่า เพราะโดยธรรมชาติของกะท่างจะใช้ชีวิตอยู่บนบกยกเว้นช่วงเวลาผสมพันธุ์เท่านั้น

“ลักษณะพิเศษของกะท่างน้ำดอยภูคามีสีน้ำตาลแถบส้ม มีสันกระดูกบนหัวที่ยาว เรียว และมีลักษณะเป็นแฉกรูปตัว V ที่หัว จากการตรวจแถบรหัสพันธุกรรมทำให้ทราบว่ากระท่างน้ำที่ค้นพบนี้ถือเป็น กะท่างน้ำสายพันธุ์ใหม่ของโลก ที่สำคัญยังแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นป่าบริเวณนี้ เพราะกะท่างน้ำดอยภูคาเป็นสัตว์ที่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในบริเวณที่พบได้เป็นอย่างดี เนื่องจากทั้งไข่ ตัวอ่อน และตัวเต็มวัยของกะท่างจะอยู่อาศัยในบริเวณผืนป่าสมบูรณ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่ถูกทำลาย รวมถึงพื้นที่นั้นๆ ต้องไม่มีสารเคมีปนเปื้อน 100%” อ.ดร.ปรวีร์ กล่าว
“กะท่างน้ำจะมีฝนเป็นตัวกระตุ้นในการให้มารวมตัวกันตามแหล่งน้ำ สืบพันธุ์ และวางไข่ ซึ่งปัจจุบันภาวะโลกร้อนทำให้ฝนทิ้งช่วง เกิดความแห้งแล้งเพิ่มมากขึ้นทุกปี ส่งผลต่อสัตว์ประเภทนี้อย่างแน่นอน นอกจากนี้การที่ชาวบ้านนำปลาเข้าไปปล่อยในแหล่งน้ำอาจเป็นการทำลายแหล่งสืบพันธุ์ของกะท่างได้ ในอนาคตจะพยายามผลักดันให้สัตว์ในกลุ่มนี้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองต่อไป” อ.ดร.ปรวีร์ กล่าวในที่สุด

จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม
รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย