ข่าวสารจุฬาฯ

เผยความสำเร็จ “โครงการพัฒนาอัลกอริทึม” เพื่อบริหารจัดการฟาร์มโคนมไทย ผลงานของ Senovate AI สตาร์ทอัพภายใต้การสนับสนุนของจุฬาฯ

หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.)เผยความสำเร็จของโครงการวิจัย “การพัฒนาอัลกอริทึมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโคนม” ที่ได้รับการจัดสรรทุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมโคนมไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ได้รับการพัฒนาโดยSenovate AI สตาร์ทอัพสัญชาติไทย จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ หวังครองแชมป์ส่งออกผลิตภัณฑ์นมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โครงการนี้เป็นการพัฒนากระบวนการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลหรืออัลกอริทึม (Algorithm) จากอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหว (Activity meter) เพื่อตรวจติดตามและจำแนกการเป็นสัดและพฤติกรรมอื่นๆ ของโคนมด้วยได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ แทนแรงงานคน เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตโคนมของเกษตรกรได้เป็นอย่างดี โดยนักวิจัยในโครงการประกอบด้วย รศ.น.สพ.ดร.ชัยเดช อินทร์ชัยศรี ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมด้วย น.สพ.พงศนันท์ ขำตา และ ดร.เดวิด มกรพงศ์ บริษัท เสโนเวท เอไอ จำกัด (Senovate AI)  สตาร์ทอัพไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

รศ.น.สพ.ดร.ชัยเดช อินทร์ชัยศรี
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ

รศ.น.สพ.ดร.ชัยเดช อินทร์ชัยศรี คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดเผยว่าในปี 2568 ประเทศไทยกำหนดให้มีการเปิดการค้าเสรีสินค้านมและครีม นมผงขาดมันเนย และเครื่องดื่มนมภายใต้ความตกลงการเปิดเสรีทางการค้าไทย-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (TAFTA – TNZFTA) ทำให้อุตสาหกรรมโคนมมีความท้าทายจากการนำเข้าสินค้านมเหล่านี้จำนวนมากจากทั้งสองประเทศ อีกทั้งผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมของประเทศไทยกว่า 70-80% เป็นเกษตรกรรายเล็ก มีประสิทธิภาพในการผลิตต่ำและต้นทุนสูงกว่าคู่แข่ง แต่ยังมีโอกาสในการส่งออกผลิตภัณฑ์นมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโยเกิร์ต ดริงกิ้ง โยเกิร์ต และนมยูเอชที ไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราภาษีนำเข้าของประเทศสมาชิกอาเซียนอยู่ที่ 0% และประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชีย คิดเป็นมูลค่ามากกว่า1 หมื่นล้านบาทต่อปี  ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางในการส่งออกผลิตภัณฑ์นมเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากสวิตเซอร์แลนด์ โดยส่งออกไปยังเมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ และฮ่องกง รวมถึงประเทศจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่และมีความต้องการสูง หากต้องการให้อุตสาหกรรมโคนมไทยเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต ต้องพยายามเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำนมดิบให้แข่งขันได้ในตลาดโลก

น.สพ.พงศนันท์ ขำตา

น.สพ.พงศนันท์ ขำตา นักวิจัยซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดการฟาร์มโคนมและการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการสุขภาพและจัดการระบบสืบพันธุ์โคนม กล่าวว่าปัญหาเรื่องการผสมพันธุ์และคลอดลูกของโคนมเป็นอุปสรรคที่ส่งผลกระทบและสร้างความสูญเสียต่อทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมและอุตสาหกรรมโคนมในฟาร์มทุกประเภทมาอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักมาจากการใช้ทักษะการตรวจประเมินโคจากการใช้แรงงานคน ทำให้ขาดความแม่นยำ และเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย  หากโคนมผสมติดช้าจะส่งผลต่อการผลิตน้ำนมจากแม่โค ดังนั้นต้องทำให้โคผสมติดได้เร็วขึ้น แต่ปัญหาการตรวจสอบการเป็นสัดของวัวโดยแรงงานคนนั้นค่อนข้างยาก เพราะส่วนใหญ่โคจะแสดงอาการตอนกลางคืน หากเจ้าของฟาร์มไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจนจะทำให้เสียโอกาสในการผสมพันธุ์วัว ประกอบกับสภาพอากาศเขตร้อนชื้นของไทยทำให้โคแสดงอาการเป็นสัดไม่ชัดเจน สังเกตอาการได้ยากยิ่งขึ้น

การใช้เทคโนโลยีเซนเซอร์ในการจับอาการติดสัด สามารถเพิ่มความแม่นยำได้มากขึ้น ปัจจุบันในประเทศไทยมีบางบริษัทที่นำเซนเซอร์นี้มาใช้ในฟาร์มโคนมขนาดกลางขึ้นไปมากกว่า100 แห่ง ด้วยภาระต้นทุนที่สูง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากอัลกอริทึมของต่างชาติได้รับการออกแบบและพัฒนาตามสภาพอากาศในต่างประเทศ โดยพัฒนามาจากพฤติกรรมของโคนมที่ถูกเลี้ยงในสภาพอากาศเย็น รวมถึงการจัดการคอก การจัดการให้อาหารในไทยก็มีความแตกต่างจากต่างประเทศอย่างสิ้นเชิง เมื่อบ้านเรานำเข้ามาใช้ก็ต้องมาตั้งระบบใหม่ ปรับอัลกอริทึมและซอฟท์แวร์ต่างๆ ในขณะที่เซนเซอร์ประเภทนี้มีราคาสูงแต่การซ่อมบำรุงรักษากลับค่อนข้างยากและต้องใช้ช่างเทคนิคฝึกอบรม ซึ่งเกษตรกรที่อยู่หน้างานอาจจะไม่เข้าใจ ประกอบกับฟังก์ชั่นของระบบใช้ภาษาอังกฤษและมีความซับซ้อนมาก ในบางฟาร์มมีความแม่นยำค่อนข้างต่ำเพียง 50-60% เท่านั้น

“Senovate AI จึงพัฒนาเทคโนโลยีรวมถึงฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ให้อยู่ในบนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อเกษตรกรของไทยได้ใช้อย่างครบวงจร โดยพัฒนาอัลกอริทึมให้เหมาะสมกับการเลี้ยงโคนมในประเทศไทย โดยเพิ่มเติมข้อมูลความรู้เรื่องการผสมเทียม การรักษาวัวป่วยที่เหมาะกับผู้ประกอบการฟาร์มโคนมในไทยที่เป็นรายเล็กมากถึง 70-80% เซนเซอร์นี้ทำให้เกษตรลงทุนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเซนเซอร์ชนิดอื่นๆ โดยการนำเซนเซอร์ไปติดที่บริเวณคอโคแต่ละตัว และรายงานผลผ่านแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ”  น.สพ.พงศนันท์ กล่าว

ดร.เดวิด มกรพงศ์
CEO Senovate AI

ดร.เดวิด มกรพงศ์ CEO Senovate AI กล่าวว่าแพลตฟอร์มนี้จะทำให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีบริหารจัดการปศุสัตว์ได้ภายในแพลตฟอร์มเดียว โดยพัฒนาจากการเข้าใจพฤติกรรมเกษตรกรและบริบทในประเทศไทย แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้ให้บริการในรูปแบบของการขายขาดอุปกรณ์แต่เป็นบริการรายเดือน เช่น การให้บริการติดตั้งฟรี และชำระค่าบริการรายเดือนตามรูปแบบการใช้งาน โดยการบริการอัลกอริทึมนี้อาจจะเริ่มต้นจาก 30 บาทต่อตัวต่อเดือน หากต้องการข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น เช่น ข้อมูลสภาพอากาศ โรคระบาด หรือต้องการสัตวแพทย์ สัตวบาลในพื้นที่เข้าไปดูแลในฟาร์มโคนม ก็จะมีค่าบริการเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นโมเดลธุรกิจ แบบ Sharing Economy มีการใช้ทรัพยากรที่อยู่ในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงกลุ่มเกษตรกรและการจัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือ เวชภัณฑ์ต่างๆ คล้ายกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของโคนม เพื่อซื้อขายสินค้าต่างๆ ในกลุ่ม  ทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น  ในอนาคตจะมีการสร้าง e-learning ภายในแพลตฟอร์มให้กับเกษตรกร สัตวแพทย์ และสัตวบาลเข้ามาเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ พร้อมกับสร้างมาตรฐานการบริการให้ตอบโจทย์เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไทยได้อย่างยั่งยืน

ดร.เดวิด ได้ให้รายละเอียดถึงการตั้งเป้าผลประกอบการจากแพลตฟอร์มดิจิทัลการจัดการฟาร์มวัวนม ว่าจากข้อมูลกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ในปี 2565 คาดว่าจะมีจำนวนโคนมทั้งหมด 765,887 ตัว Senovate AI ตั้งเป้าผู้ใช้เซนเซอร์ติดตามวัวไม่ต่ำกว่า10,000 ตัว ประเมินรายได้ไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาทต่อปีภายในต้นปี 2568 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเกษตรกรให้หันมาใช้เทคโนโลยีในการตรวจเช็คอาการติดสัด หรืออาการอื่นๆ แทนแรงงานคน หลังจากที่มีผู้ใช้เซนเซอร์เพิ่มมากจะทำให้การพัฒนาอัลกอริทึมแม่นยำมากขึ้น รวมถึงฟังก์ชั่นอื่นๆ เช่น การตรวจเช็ควัวป่วย การตรวจเช็คเซนเซอร์โคหลุดจากคอก การแจ้งเตือนเมื่อโคกำลังใกล้คลอด เป็นต้น ทำให้เทคโนโลยีมีความพร้อมและสมบูรณ์แบบมากขึ้น ซึ่งในอนาคตจะสามารถต่อยอดไปใช้ในการเลี้ยงปศุสัตว์ประเภทอื่นๆ เช่น วัวเนื้อ รวมถึงจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้ เป็นการติดอาวุธให้กับอุตสาหกรรมฟาร์มโคนมทั้งในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์นมภายในปี 2570

“ในอนาคตฟาร์มโคนมในประเทศไทยหากมีการใช้แพลตฟอร์มระบบจัดการฟาร์มวัว ประมาณ 1 แสนตัว หรือประมาณ 20% จากจำนวนโคนมในประเทศไทย จะสามารถสร้างมูลค่าให้กับประเทศได้ 1 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2575 และหากสามารถสร้างฐานการใช้เทคโนโลยีไปสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ Senovate AI จะเป็น Unicorn ด้าน AI Technology ในอุตสาหกรรมเกษตรที่มาจากประเทศไทยเป็นรายแรก” ดร.เดวิด กล่าวในที่สุด

จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม

รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า