ข่าวสารจุฬาฯ

สาเหตุความล้มเหลวของประกันโควิดแบบ “เจอ จ่าย จบ”

“การประกันภัย”เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคนทั่วไปเพราะสามารถช่วยป้องกันจากความสูญเสียที่ราคาสูงได้ เช่น ประกันอัคคีภัยจะช่วยจ่ายชดเชยค่าเสียหายจากไฟไหม้บ้าน ถึงแม้ว่าโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้บ้านนั้นต่ำมากๆ แต่ถ้าเกิดขึ้นมาแล้วมูลค่าความเสียหายจะสูงมาก ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้อประกันเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ในขณะที่ผู้ซื้อประกันมองว่าขนาดความเสี่ยงจากอัคคีภัยนั้นสูงมาก แต่บริษัทประกันที่มีลูกค้ามากจะไม่กังวลกับความเสี่ยงนี้เลย เพราะบริษัทประกันสามารถรับความเสี่ยงจากลูกค้าหลายเจ้าแล้วนำมารวมกันเพื่อกระจายความเสี่ยงให้ “หาย” ไปได้

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทมี 1 ล้านกรมธรรม์ สมมุติให้แต่ละกรมธรรม์มีโอกาสที่จะเกิดไฟไหม้บ้าน ใน 1 ปีเท่ากับ 1 ในหมื่น หรือ 0.01% เมื่อมองในภาพรวมของบ้าน 1 ล้านหลังจะพบว่าจำนวนบ้านที่ไฟไหม้จะใกล้เคียงกับ 100 หลังต่อปีเสมอ หรือเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีความเสี่ยงเลย นั่นเป็นเพราะกฎทางคณิตศาสตร์ที่ชื่อ “Law of Large Numbers” ที่กล่าวว่าเมื่อนำความเสี่ยงที่เป็นอิสระต่อกันจำนวนมาก ๆ มารวมกัน ความเสี่ยงรวมของทั้งหมดจะหายไป เช่น กรณีเมื่อเราทอยลูกเต๋า 1 ลูก แต้มที่ออกจะมีค่าได้ตั้งแต่ 1 ถึง 6 (เสี่ยงมาก) แต่เมื่อทอย 3-4 พันลูก ผลรวมของแต้มหารด้วยจำนวนลูกที่ทอยจะเท่ากับหรือใกล้เคียง 3.5 เสมอ ความเสี่ยงจะหายไปเลย (ไม่เสี่ยง)

ความสวยงามของธุรกิจประกันภัยก็คือการที่บริษัทสามารถช่วยลูกค้าในการป้องกันความเสี่ยงที่สูงสำหรับลูกค้า โดยที่บริษัทเองแทบไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเลย เนื่องจากบริษัทสามารถกระจายความเสี่ยงให้หายไปตามกฎ Law of Large Numbers นั่นเอง

ผศ.ดร.ชนวีร์ สุภัทรเกียรติ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำเสนอบทความเรื่อง สาเหตุความล้มเหลวของประกันโควิดแบบ “เจอ จ่าย จบ” โดยให้ข้อมูลว่าในปี 2563 บริษัทประกันจำนวนมากขายประกันโควิดแบบ “เจอจ่ายจบ” โดยมีเบี้ยประกันประมาณ 500 บาท ซึ่งถ้าติดโควิดใน 1 ปีก็จะได้เงิน 100,000 บาท “เจอจ่ายจบ”นี้เป็นที่นิยมมาก ในปีแรกบริษัทประกันทำกำไรมากจากการขายประกันชนิดนี้ เพราะประเทศไทยมีอัตราการติดเชื้อโควิดที่ต่ำมาก เนื่องจากรัฐบาลดำเนินนโยบายเข้มงวดและป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่เข้าประเทศ แต่ในปีที่ 2 และปีที่ 3 จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้บริษัทประกันหลายบริษัทต้องล้มละลายเนื่องจากมีจำนวนเคลมที่สูงมากจนไม่สามารถจ่ายค่าสินไหมได้

ในปี 2563 โอกาสติดเชื้อโควิดของประชากรไทยอยู่ที่ 0.01% (มีผู้ติดเชื้อ 7,000 คนจากประชากรไทย 70 ล้านคน) ดังนั้นสมมุติว่าถ้าบริษัทประกันมีกรมธรรม์เจอจ่ายจบ 1 ล้านกรมธรรม์ บริษัทจะได้รับเงินค่าเบี้ยประกันรวม 500 ล้านบาท ในขณะที่ใน 1 ล้านกรมธรรม์นั้นจะมีผู้ติดเชื้อเท่ากับ 0.01% ของ 1 ล้าน หรือซึ่งก็คือ 100 คน ดังนั้นบริษัทต้องจ่ายค่าสินไหมรวม 10 ล้านบาท ซึ่งในปีแรกนี้บริษัทกำไรดีมากเพราะได้รับเบี้ยประกัน 500 ล้านบาทแต่จ่ายค่าสินไหมเพียงแค่ 10 ล้านบาท นั่นเป็นเพราะอัตราการติดเชื้อของคนไทยในปีนั้นต่ำมาก ๆ แค่ 0.01% ในขณะที่ในปีเดียวกันอัตราการติดเชื้อของสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 9% ซึ่งสูงกว่าไทย 900 เท่า นั่นเป็นเพราะอเมริกาไม่ได้มีนโยบายควบคุมที่เข้มข้นเหมือนประเทศไทย ถ้าประเทศไทยมีอัตราการติดเชื้อเท่ากับ 9% เหมือนอเมริกา ผู้ทำประกัน 1 ล้านคนจะติดเชื้อสูงถึง 90,000 คน ทำให้บริษัทจะต้องจ่ายค่าสินไหม 9,000 ล้านบาท จากเบี้ยประกันที่ได้รับแค่ 500 ล้านบาท นั่นหมายถึงบริษัทจะล้มละลายในทันที จะเห็นว่าบริษัทประกัน “เจอจ่ายจบ” จะกำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับค่าอัตราการติดเชื้อของคนในประเทศเป็นหลักสำคัญ โดยมีจุดคุ้มทุนที่ 0.5% ถ้าอัตราการติดเชื้อต่ำกว่า 0.5% บริษัทจะกำไร แต่ถ้าสูงกว่า 0.5% บริษัทจะขาดทุน จากข้อมูลประเทศที่ดำเนินนโยบายผ่อนคลายและเปิดเมือง อัตราการ  ติดเชื้อจะเกิน 0.5% ดังนั้นความเสี่ยงหลักของประกันโควิดแบบ “เจอจ่ายจบ” ก็คือความเสี่ยงจากนโยบายจากภาครัฐว่าจะเข้มงวดล็อกดาวน์หรือไม่นั่นเอง ถ้ารัฐบาลยังเข้มงวด อัตราการติดเชื้อก็จะต่ำมาก บริษัทประกันก็จะทำกำไรเหมือนปี 2563 แต่ถ้ารัฐบาลเปลี่ยนมาใช้นโยบายผ่อนคลายเปิดประเทศเหมือนชาติตะวันตก อัตราการติดเชื้อก็จะสูงมาก บริษัทประกันมีโอกาสจะขาดทุนแบบล้มละลาย

จะเห็นว่าการประกันโควิดแบบ “เจอจ่ายจบ” แตกต่างจากการประกันอัคคีภัยอย่างสิ้นเชิง เพราะในการประกันอัคคีภัย ความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้ของแต่ละบ้านเป็นอิสระต่อกัน จึงสามารถนำมากระจายความเสี่ยงให้หายไปได้ตามกฎ Law of Large Numbers แต่ในกรณีประกันโควิด ความเสี่ยงของการติดเชื้อโควิดของแต่ละคนไม่เป็นอิสระต่อกัน เพราะโอกาสในการติดเชื้อของทุกคนขึ้นอยู่กับนโยบายการล็อกดาวน์ของรัฐบาล เราไม่ได้มีหลายรัฐบาล เรามีแค่รัฐบาลเดียว จึงไม่สามารถนำมากระจายความเสี่ยงให้หายไปตามกฎ Law of Large Numbers ได้  ดังนั้นการออกประกันแบบ “เจอจ่ายจบ” จึงไม่ใช่การกระจายความเสี่ยง แต่เป็นการแทงเดิมพัน(หรือแทงพนัน) โดยเดิมพันว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายปิดเมืองหรือเปิดเมืองนั่นเอง ถ้าปิดเมืองต่อไปบริษัทก็จะกำไร แต่ถ้าเปิดเมืองเมื่อไรบริษัทก็จะขาดทุนแบบล้มละลายทันที

จากบทเรียนนี้ทำให้รู้ว่าบริษัทประกันไม่ควรออกผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงในลักษณะเดิมพันหรือการพนัน เพราะมันไม่สามารถกระจายความเสี่ยงให้หายไปได้ บริษัทประกันควรเน้นออกผลิตภัณฑ์ป้องกันความเสี่ยงที่สามารถกระจายความเสี่ยงให้หายไปได้ เหมือนอย่างกรณีประกันอัคคีภัย เป็นต้น

จุฬาฯ สนับสนุนให้อาจารย์ทำงานวิจัย นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากต่อทั้งอาจารย์ นิสิต รวมถึงภาคประชาสังคม

รองศาสตราจารย์ ดร.สุชนา ชวนิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับท่าน และเพื่อพัฒนาคุณภาพการให้บริการเว็บไซต์ที่ตรงต่อความต้องการของท่านมากยิ่งขึ้น ท่านสามารถทราบรายละเอียดเกี่ยวกับคุกกี้ได้ที่ นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และท่านสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

ท่านสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

อนุญาตทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้เว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ ท่านไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน โดยมีจุดประสงค์คือนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีกับผู้ใช้งาน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราอาจไม่สามารถวัดผลเพื่อการปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ให้ดีขึ้นได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า